รอน แอตกินสัน ของ ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด_(ค.ศ._1969–1986)

ไบรอัน ร็อบสัน กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นานที่สุดถึง 12 ปี[7]

ประธานสโมสรยูไนเต็ดมาร์ติน เอ็ดเวิร์ด ได้พยายามหาผู้จัดการทีมคนใหม่ที่จะนำพาพวกเค้ากลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ ลอว์รี่ แมคเมเนมี่ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพาเซาร์แธมป์ตันช็อควงการด้วยการล้มยูไนเต็ดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อ 5 ปีก่อนหน้า และปัจจุบันยังเป็นทีมที่แข่งขันเพื่อแย่งอันดับในส่วนหัวตารางดิวิชั่น 1 ไบรอัน คลัฟ (ผู้พาทีมน็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 และยังประเดิมแชมป์ลีกได้ในฤดูกาลแรกที่ขึ้นมา รวมทั้งแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 ครั้ง ใน 4 ฤดูกาลแห่งความสำเร็จ) ก็มีข่าวลือถูกโยงเข้ากับตำแหน่งนี้ด้วย แต่ประธานสโมสร มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเองว่ายูไนเต็ดไม่ได้ยื่นข้อเสนอกับคลัฟ บ็อบบี้ ร็อบสัน (ผู้พา อิปสวิช ทาวน์ ชนะเลิศรายการยูฟ่า คัพ) อีกทั้งยังมีรอน ซอนเดอร์ ผู้พาทีมแอสตันวิลลาเป็นจ่าฝูงในลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 71 ปี แต่สุดท้ายก็เป็นรอน แอตกินสันที่ถูกเลือกให้เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่

แอตกินสันทำลายสถิติการซื้อขายนักเตะของอังกฤษในเดือนตุลาคม ค.ศ.1981 ในการเซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ ไบรอัน ร็อบสัน จากเวสต์บรอมวิชอัลเบี้ยนในราคา 1.5 ล้านปอนด์ และตามด้วยการคว้าเพื่อนร่วมทีมของร็อบสัน เรมี่ มอสส์ เป็นจำนวนเงิน 500,000 ปอนด์ นอร์มัน ไวท์ไซต์ ก้าวเข้ามาและกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญด้วยวัยเพียง 17 ปี ขณะที่ศูนย์หน้าอย่างแฟรงค์ สเตเปิลตัน ก็ผลงานสม่ำเสมอในการทำประตูให้กับทีมหลังจากย้ายมาจากอาร์เซนอล แอตกินสัน ยังคงเหลือมิดฟิลด์ 1 คนที่มาจากยุคของเซ็กตัน นั่นก็คือ เรย์ วิลกิ้นส์ สำหรับนักเตะในอีก 2 รายที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานในยุคผู้จัดการคนก่อนทั้งมาร์ติน บูชาน และลู มาคาริ ซึ่งเข้ามาร่วมทีมยูไนเต็ดในยุคของโอเชอร์ตี้และโอ แฟร์เรลล์ ก็ยังอยู่กับทีมอีกช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายออกไปในปี ค.ศ. 1984

จากการเข้ามาทำทีมของแอตกินสัน ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีมที่ดีขึ้น โดยพวกเขาแพ้เพียง 8 เกม และจบในอันดับ 3 สำหรับฤดูกาลแรกของแอตกินสัน การแข่งขันในส่วนหัวตาราง เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างอิปสวิช ทาวน์ และทอตนัมฮอตสเปอร์ รวมทั้งทีมที่อาจจะแทรกเข้ามาได้อย่างเช่น เซาร์แธมป์ตัน และอาจจะรวมถึง สวอนซี ซิตี้ ซึ่งต้องแข่งกับมหาอำนาจในยุคนั้น นั่นก็คือ ลิเวอร์พูล

และแล้วยูไนเต็ดก็ประสบความสำเร็จ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี ค.ศ.1983 ด้วยสกอร์สวยหรู 4-0 ในนัดรีเพลย์กับไบรตัน รวมทั้งยังจบอันดับที่ 3 ในรายการลีก โดยแชมป์ยังคงตกเป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้ง ส่วนรองแชมป์เป็นของวัตฟอร์ด ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมน่าประทับใจในฤดูกาลแรกของการขับเคี่ยวในกลุ่มหัวตาราง ไม่เพียงแค่นั้น ยูไนเต็ดยังสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการฟุตบอลถ้วยลีก คัพ แต่ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลไปด้วยสกอร์ 2-1 นอร์แมน ไวท์ไซด์ ของยูไนเต็ดสามารถทำประตูได้ทั้งสองนัดในรายการชิงชนะเลิศในฤดูกาลเดียว ซึ่งถือเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่สามารถทำได้

ถึงแม้ว่าในฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดต้องกระเด็นตกรอบเอฟเอ คัพ ด้วยน้ำมือของทีมจากดิวิชั่น 3 บอร์นมัธ พวกเขาก็สามารถล้มบาร์เซโลนาในรายการยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ผ่านเข้าสู่รอบเซมิไฟนอล ก่อนที่จะแพ้ให้กับยูเวนตุส ยูไนเต็ดช่วงชิงในอันดับหัวตารางกับทีมขาประจำอย่างลิเวอร์พูล เซาร์แธมป์ตันและ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ ก่อนที่พวกเขาจะแผ่วปลาย จบฤดูกาลได้แค่อันดับที่ 4 เท่านั้น โดยแชมป์ก็ยังตกเป็นของลิเวอร์พูลอีกเช่นเคย ซึ่งถือเป็นการได้แชมป์ 2 สมัยติด ช่วงฤดูร้อน ค.ศ.1984 ทีมได้ขายมิดฟิล์ดเรย์ วิลกิ้นส์ให้กับเอซี มิลาน หลังจากอยู่รับใช้สโมสรนานถึง 5 ปีเต็ม โดยแอตกินสันได้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้อนักเตะใหม่เสริมทีมอันได้แก่ มิดฟิลด์ กอร์ดอน สตราแชน จากอเบอร์ดีน และเจสเปอร์ โอล์ดเซ่น จากอาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม

ศูนย์หน้าชาวเวลส์ มาร์ค ฮิวส์ ปรากฏตัวในนามนักเตะยูไนเต็ดครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1983 และกลายเป็นนักเตะกำลังหลักของทีมในฤดูกาลถัดมา ด้วยการทำถึง 24 ประตู และได้รับเลือกให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ของฤดูกาล1984–85 ด้วยวัยตอนนั้นเพียงแค่ 21 ปี นอกจากนั้นเค้ายังช่วยให้ทีมคว้านักเตะอลัน บราซิล เข้าทีมด้วยค่าตัว 500,000 ปอนด์ ซึ่งต่อมาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของนอร์แมน ไวท์ไซด์ มาได้ในเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไวท์ไซด์ก็ได้ผันตัวเองไปเล่นมิดฟิล์ดตัวกลางแทนหลังจากการบาดเจ็บของเรมี่ มอสส์

ปี ค.ศ.1985 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสามารถล้มทีมแชมเปี้ยนของฤดูกาลอย่างเอฟเวอร์ตันในรายการเอฟเอ คัพ ซึ่งประกอบด้วยเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นหลายอย่าง เควิน มอร์แรน กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ถูกไล่ออกในการแข่งนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพแม้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารย์อย่างหนักถึงการแจกใบแดงในครั้งนี้ ด้วยนักเตะ 10 คนที่เหลืออยู่ นอร์แมน ไวท์ไซด์ ยิงประตูโทนในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งผลให้ยูไนเต็ดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้สำเร็จ จากแชมป์ในครั้งนี้ส่งผลให้ยูไนเต็ดได้สิทธิ์เข้าร่วมในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1985–86 แต่จากการที่ลิเวอร์พูลถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ จลาจลที่สนามเฮย์เซล เป็นระยะเวลา 5 ปี ที่ทีมจากอังกฤษไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันในฟุตบอลยุโรปได้ ยูไนเต็ดจบที่ 4 ในฤดูกาลแข่งขันนั้น

ฤดูกาล 1985–86 เป็นการออกสตาร์ทอย่างยอดเยี่ยมของยูไนเต็ด ด้วยการชนะ 10 นัดในเกมลีกติดต่อกัน(เป็นสถิติของสโมสรในการออกสตาร์ทของฤดูกาล) และมีแต้มนำในกลุ่มหัวตารางถึง 10 แต้มในช่วงต้นเดือนตุลาคม พวกเขาไม่แพ้ใครใน 15 เกมแรก และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุดพวกเขาได้ สำหรับการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 แต่ฟอร์มของพวกเขาก็ย่ำแย่ในช่วงปีใหม่ อีกทั้งการต้องเสียกัปตันทีมไบรอัน ร็อบสัน จากอาการบาดเจ็บ ซึ่งทำให้เขาพลาดลงสนามให้กับยูไนเต็ดเกือบทั้งฤดูกาล ทำให้ยูไนเต็ดทำได้แค่เพียงที่ 4 เท่านั้นในฤดูกาลนี้ สโมสรมีแผนที่จะขายมาร์ค ฮิวส์ด้วยเหตุผลของภรรยาและการดื่มอย่างหนักจนส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นของเขา จนต้องย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนา ในช่วงปิดฤดูกาลด้วยค่าตัวราว 2 ล้านปอนด์ ช่วงกลางฤดูกาลสโมสรได้พยายามแก้ไขด้วยการเซ็นสัญญาคว้าตัวศูนย์หน้าเทอร์รี่ กิ๊ปสัน และปิเตอร์ ดาเวนพอร์ต แต่พวกเขาก็ช่วยฟอร์มของยูไนเต็ดให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ยูไนเต็ดจบฤดูกาลด้วยคะแนนตามหลังทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูลห่างถึง 12 แต้มแต่ยังห่างจากรองแชมป์เอฟเวอร์ตันถึง 10 แต้มด้วยกัน ซึ่งศูนย์หน้าผู้ทำประตูสูงสุดของทีมแกรี่ ลินิเกอร์ ก็ถูกโยงว่าจะตามไปสบทบกับมาร์ค ฮิวส์ ที่บาร์เซโลนาในช่วงฤดูร้อนที่จะถึง และตามหลัง 8 แต้มกับทีมเวสต์แฮม ยูไนเต็ดที่ทำผลงานได้อย่างเซอไพรซ์ ซึ่งต้องขอบคุณศูนย์หน้าชาวสก็อตแลนด์ แฟรงค์ แมคอเวนนี่ ผู้ทำประตูสูงสุดของฤดูกาลถึง 26 ประตู

หลังจบฤูกาล 1986 มีข่าวลือว่ายูไนเต็ดจะปลดรอน แอตกินสัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ซึ่งผู้ที่จะมาแทนที่ก็ได้แก่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมชาวสก๊อตแลนด์ของทีมอเบอร์ดีน ส่วนอีกชื่อหนึ่งที่มีกระแสว่าจะมารับตำแหน่งนี้ก็คือ เทอรรี่ เวเนเบิ้ล ผู้จัดการทีมบาร์เซโลนาที่เพิ่งปฏิเสธการรับงานผู้จัดการทีม อาร์เซนอลในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อย่างไรก็ดี ฤดูกาล 1986–87 แอตกินสันก็ยังได้เริ่มต้นกับการคุมทีมต่อไป

ฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างย่ำแย่โดยแพ้ถึง 3 นัดติดต่อกัน ซึ่งรวมไปถึงนัดที่แพ้ในบ้านต่อทีมชาร์ลตัน แอตเลติก ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งชาร์ลตันเพิ่งได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษอีกครั้งหลังจากล่าสุดในช่วงศตวรรษที่ 1950 จนต้องรอถึงนัดที่ 5 กว่าพวกเค้าจะสามารถเก็บชัยชนะนัดแรกได้ ด้วยการเปิดบ้านถล่มเซาร์แธมป์ตัน ได้ถึง 5-1 แต่ช่วงหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์พวกเขาก็พ่ายแพ้ให้แก่เอฟเวอร์ตัน และต้องเสียแต้มให้แก่ทีมอย่างวัตฟอร์ต และโคเวนทรี ซิตี้ รวมถึงการพลาดจุดโทษถึง 2 ครั้งในเกมเปิดบ้านพบเชลซี ซึ่งส่งผลให้ทีมจากลอนดอนตะวันตกสามารถบุกมาเก็บสามแต้มไปครองได้ จนกระทั่งมาถึงฟางเส้นสุดท้ายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1986 เมื่อยูไนเต็ดต้องพบกับความพ่ายแพ้ต่อเซาร์แฮมตันในฟุตบอลลีกคัพ รอบ 3 นัดรีเพลย์ ไปด้วยสกอร์ถึง 4-1 เช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 สโมสรได้ประกาศปลด รอน แอตกินสัน ออกจากตำแหน่ง และวันต่อมาก็ได้แต่งตั้งอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากอเบอร์ดีน เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน

เฟอร์กูสันประสบความสำเร็จในการแย่งแชมป์สก๊อตติสมาได้จาก 2 มหาอำนาจสก๊อตแลนด์แห่ง โอล์ด เฟิร์ม อันประกอบไปด้วยแรงเจอร์ และเซลติก ที่ครองมานานถึงกว่า 90 ปี แต่งานที่เขาต้องเผชิญที่โอล์ด แทรฟฟอร์ต นั้นใหญ่หลวงและหนักหนาเอาการ เนื่องจากต้องทำทีมต่อ ในขณะที่อยู่ที่อันดับ 4 จากท้ายตารางดิวิชั่น 1 ให้ได้โทรฟี่แชมป์และครองความเป็นที่หนึ่งของลีกอังกฤษกลับมาอีกครั้ง ซึ่งรอมานานถึง 20 ปี เขาต้องสานต่อทีมที่ประกอบด้วยนักเตะ อย่างกัปตันทีม ไบรอัน ร๊อบสัน มิดฟิล์ดตัวรุกนอร์มัน ไวท์ไซต์ (ไวท์ไซต์ได้ 2 เหรียญแชมป์เอฟเอ คัพ และลงเล่นให้ทีมเกือบ 200 นัด ทั้งที่อายุเพียง 21 ปี) และกองหลัง พอล แมคกรัธ แต่นักเตะใหม่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการดึงตัวเข้ามาเพื่อเสริมทีมในปัจจุบัน ซึ่งเค้าจะต้องแข่งกับทีมแกร่งอย่างลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ในขณะนั้น

ใกล้เคียง

ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทย